วิธีการเอ็กซเรย์แบบใหม่ช่วยปรับปรุงการวินิจฉัยโรคปอด
x-ray หรือรังสีเอกซ์ เป็นรังสีที่ถูกนำมาใช้ทางการแพทย์เพื่อช่วยวินิจฉัยโรค ถูกจัดอยู่ในรังสีประเภทไอออนไนซ์ โดยจะนำมาถ่ายภาพอวัยวะต่างๆที่แพทย์มีข้อสงสัยว่าอาจจะเกิดโรค ซึ่งจะทำให้แพทย์สามารถมองเห็นอวัยวะบริเวณนั้นได้
วิธีการเอกซเรย์ รังสีเอกซ์แสดงให้เราเห็นอะไร?
ลักษณะการทำงานคือเมื่อเนื้อเยื่อได้รับรังสีเอกซเรย์ก็จะมีการดูดซึมรังสีดังกล่าวเอาไว้ พอมีการถ่ายทอดลงมายังแผ่นฟิล์มก็จะส่งผลให้เกิดภาพบนฟิล์มที่เป็นสีดำ เทา หรือขาวขึ้นมาขึ้นอยู่กับความหนาแน่นของอะตอมและชนิดของแร่ธาตุในแต่ละเนื้อเยื่อ หากเนื้อเยื่อมีแคลเซียมสูงภาพเอกซเรย์ก็จะเป็นสีขาว เช่น กระดูก แต่ถ้าเนื้อเยื่อมีอากาศก็จะเป็นสีดำ เช่น ปอด หากเนื้อเยื่อที่มีการผสมกันระหว่างอากาศกับแคลเซียมคือกระดูกภาพที่ออกมาก็จะเป็นสีเทาลดหลั่นกันออกไป ลักษณะดังกล่าวที่ว่ามานี้ช่วยให้เราสามารถเห็นความผิดปกติภายในร่างกายได้ชัดเจนมากขึ้นซึ่งแพทย์ก็จะสามารถใช้ในการวินิจฉัยโรคต่อไปด้วย
การเอกซเรย์ทรวงอกเป็นที่ที่รังสีเอกซ์พุ่งตรงไปที่ส่วนของหน้าอกหรือปอด โดยที่ภาพเอ็กซ์เรย์ถูกบันทึกลงบนแผ่นฟิล์ม แพทย์จะใช้วิธีใดในการวินิจฉัยความสมบูรณ์ของอวัยวะภายใน ได้แก่ หน้าอก ปอด และโครงสร้างโดยรอบ ดังนั้นการเอกซเรย์ทรวงอกจึงเป็นหนึ่งในการทดสอบที่ใช้บ่อยที่สุด เพราะเป็นการทดสอบอย่างง่ายและสามารถคัดกรองเบื้องต้นเพื่อรวมรังสีที่ใช้ไปในปริมาณเล็กน้อย
X-ray คุณเห็นอะไร?
อย่างที่ทราบกันดีว่าการตรวจ X-ray หรือ x-ray มีหน้าจอที่ชัดเจน ช่วยในการดูความผิดปกติในส่วนต่อไปนี้
1. ปอด: ผลการเอกซเรย์สามารถใช้วินิจฉัยโรคและอาการของโรคปอด วัณโรค ถุงลม โรคปอดบวม เนื้องอก รวมถึงมะเร็งปอด
2. หัวใจ : ผลการเอกซเรย์สามารถใช้วินิจฉัยโรคและอาการของโรคหัวใจหรืออาการต่างๆ เช่น หัวใจผิดปกติได้ ขนาดหรือรูปร่าง ความผิดปกติของหลอดเลือดดำและหลอดเลือด
3. กระดูก : ผลการเอกซเรย์สามารถใช้วินิจฉัยโรคและอาการหรืออาการที่เกี่ยวข้องกับกระดูก เช่น กระดูกหัก ซี่โครงหัก กระดูกสันหลัง งอ ผิดรูป ลักษณะของกระดูก รวมทั้งกระดูกไหปลาร้า
วิธีการเอกซเรย์ ทำไมต้องเอกซเรย์
ตรวจหาสิ่งแปลกปลอม หากผู้ป่วยได้รับสิ่งแปลกปลอมเข้าร่างกายหรือการกลืนวัตถุต่าง ๆ เข้าสู่ร่างกาย
ตรวจหาความผิดปกติของกระดูก เช่น โรคกระดูกพรุน โรคมะเร็งกระดูก เป็นต้น
มะเร็งเต้านม โดยการตรวจหาความความผิดปกติบริเวณเนื้อของเต้านม
การอุดตันของหลอดเลือด ด้วยการฉีดสารที่ผสมไอโอดีนเข้าไปเพื่อให้เกิ
การเรืองแสงในระบบหลอดเลือด ทำให้เห็นระบบหลอดเลือดว่ามีการอุดตันหรือไม่
ตรวจหาปัญหาสุขภาพปอด เช่น มะเร็งปอด น้ำท่วมปอด เป็นต้น
การตรวจเอกซเรย์ถูกแบ่งออกเป็น 3 ประเภทหลัก ๆ คือ
กระดูก เพื่อตรวจดูความผิดปกติของกระดูกตามส่วนต่าง ๆ เช่น ฟัน แขน ขา เป็นต้น
ทรวงอก การตรวจตรงจุดนี้มีจุดประสงค์เพื่อตรวจปอด หัวใจ การตรวจแมมโมเเกรมเพื่อหามะเร็งเต้านม
ช่องท้อง ตรวจหาความผิดปกติของระบบทางเดินอาหารและหาสิ่งแปลกปลอมในร่างกาย
ในทางการแพทย์เอกซเรย์สามารถนำไปใช้ตรวจภาพของเนื้อเยื่อ/อวัยวะได้ทุกส่วนของร่างกาย และตรวจได้ทุกเพศ ทุกวัย ซึ่งถือว่าให้ประโยชน์อย่างมากต่อการรักษาเพราะแพทย์จะได้นำไปใช้ในการหาแนวทางรักษาโรคได้ตรงกับอาการมากที่สุด และเพื่อการรักษาที่มีประสิทธิภาพ
ปกติแล้วการเอกซเรย์ธรรมดาเป็นการเอกซเรย์พื้นฐานที่อวัยวะทุกส่วนของร่างกายสามารถทำได้ไม่ว่าจะเป็น กะโหลก, ฟัน, ไซนัส, ปอด, หัวใจ, กระดูก, แขน, ขา, นิ้ว และอื่นๆ อีกมากมาย ถือเป็นวิธีการตรวจโรคที่ได้ผลในระดับหนึ่ง ซึ่งก็ต้องขึ้นอยู่กับการวินิจฉัยของหมอต่อไปว่า เมื่อเห็นภาพบนฟิล์มเอกซเรย์ปรากฏแล้วจะสามารถทำการรักษาหรือวินิจฉัยได้อย่างไร
ข้อห้ามในการเอกซเรย์
การเอกซเรย์เป็นการตรวจวินิจฉัยเบื้องต้นที่สามารถทำได้ แต่ก็ยกเว้นในกรณีของสตรีมีครรภ์ เนื่องจากรังสีที่ใช้ในการเอกซเรย์จะส่งผลกระทบทำให้เกิดความผิดปกติกับทารกในครรภ์ได้ ดังนั้ควรหลีกเลี่ยงการเอกซเรย์ หรือปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญทั้งในด้านรังสีวิทยาและแพทย์เจ้าของครรภ์ก่อนเพื่อความปลอดภัย
วิธีการเอกซเรย์
การเอกซเรย์จะต้องทำโดยผู้เชี่ยวชาญเฉพาะทางภายในแผนกรังสีวิทยา แต่ถ้าหากเป็นในคลีนิกทำฟันหรือคลีนิกภายนอกทั่วไปก็สามารถทำได้แต่จะเป็นในรูปแบบการวินิจฉัยเท่านั้น
เมื่อเข้าไปในห้องเอกซเรย์แล้ว ผู้เชี่ยวชาญหรือนักรังสีวิทยาจะให้ผู้เข้ารับการตรวจจัดท่าทางให้อยู่ในท่าที่เมื่อเอกซเรย์ออกมาแล้วจะสามารถเห็นภาพได้ชัดเจนที่สุด ซึ่งอาจอยู่ในท่านอนหงาย นั่ง หรือยืน ผู้เข้ารับการตรวจจะต้องยืนอยู่ด้านหน้าของอุปกรณ์พิเศษที่บรรจุฟิล์มเอกซเรย์ หรือเซนเซอร์ของเครื่องเอกซเรย์เอาไว้ หรือในบางกรณีผู้เชี่ยวชาญอาจให้นั่งหรือยืนบนอุปกรณ์ดังกล่าวและใช้กล้องเอกซเรย์ถ่ายภาพลงมาจากเหนือศีรษะ
ทั้งนี้สิ่งสำคัญที่สุดในขณะเอกซเรย์คือผู้เข้ารับการตรวจจะต้องอยู่นิ่ง ๆ เพื่อให้ได้ภาพที่คมชัดที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ การถ่ายภาพเอกซเรย์อาจต้องทำหลายครั้งจนกว่าจะได้ภาพที่ดีที่สุด ซึ่งจะส่งผลดีต่อการวินิจฉัยอาการต่อไป
วิธีการเอกซเรย์ การเตรียมตัวก่อนเอกซเรย์
ก่อนทำการตรวจเอกซเรย์ ผู้เข้ารับการตรวจไม่จำเป็นต้องเตรียมตัวอะไรเป็นพิเศษ สามารถรับประทานอาหารและดื่มน้ำได้ตามปกติ หากมีการรับประทานยาอยู่ก็สามารถรับประทานต่อเนื่องไปได้ แต่ถ้าหากเป็นการเอกซเรย์ที่ต้องกลืนสารไอโอดีนหรือแบเรียม ก็ควรหลีกเลี่ยงการรับประทานยา การดื่มเครื่องดื่มหรือการกินอาหาร เพื่อไม่ให้ส่งผลกระทบต่อสารที่ใช้ในการเอกซเรย์ นอกจากนี้ หากอยู่ในระหว่างการตั้งครรภ์ ผู้เข้ารับการตรวจควรรีบบอกแพทย์ในทันทีก่อนทำการตรวจ เพื่อที่แพทย์จะได้ทราบและเลื่อนการเอกซเรย์ไปก่อนในกรณีที่ยังไม่จำเป็นต้องเอกซเรย์อย่างเร่งด่วน สำหรับการแต่งกาย ควรสวมเสื้อผ้าที่ใส่สบายไม่พอดีตัวจนเกินไป และหลีกเลี่ยงการสวมใส่เครื่องประดับหรือเสื้อผ้าที่มีส่วนประกอบของโลหะ และหากผู้ป่วยเคยผ่านการผ่าตัดที่ต้องฝังอุปกรณ์หรือชิ้นส่วนของโลหะไว้ในร่างกาย ควรแจ้งให้แพทย์ทราบล่วงหน้าด้วยเช่นกัน
วิธีการเอกซเรย์ การดูแลหลังการเอกซเรย์
หลังจากทำการเอกซเรย์แล้ว แพทย์อาจให้ผู้เข้ารับการตรวจอยู่รอฟังผลหรือกลับบ้านได้เลย ซึ่งผลจะถูกส่งไปให้แพทย์โดยนักรังสีวิทยา ซึ่งเมื่อแพทย์เห็นผลการเอกซเรย์แล้วก็อาจมีการสั่งตรวจอื่น ๆ เพิ่มเติมเพื่อใช้ในการวินิจฉัยร่วมแล้ววางแผนในการรักษาต่อไป สำหรับอันตรายจากการแพร่กระจายของรังสีที่ใช้ในการเอกซเรย์ถือว่าต่ำมากหรือแทบไม่มีเลย เนื่องจากปริมาณรังสีที่ใช้ในการเอกซเรย์อยู่ในปริมาณที่ต่ำ และให้ประโยชน์มากกว่าผลเสีย
ทั้งนี้ก็ยังอาจพบผลข้างเคียงจากการเอกซเรย์ได้อยู่บ้าง โดยผลข้างเคียงที่อาจพบจะแบ่งออกเป็น 2 ประเภทคือ
ผลข้างเคียงจากสารทึบแสงและยาที่ใช้ในการเอกซเรย์ ได้แก่
- อุจจาระมีสีซีด การใช้สารแบเรียมในการเอกซเรย์ อาจทำให้อุจจาระที่ถ่ายออกมามีสีซีดอย่างน้อย 1-2 วัน
- ตาพร่ามัว ยาฉีดที่ใช้เพื่อลดการบีบตัวของกระเพาะอาหารอาจส่งผลให้สายตาพร่ามัวในช่วง 1-2 ชั่วโมงแรก
- ผื่นขึ้น สำหรับผู้ที่ต้องใช้สารไอโอดีนร่วมด้วยอาจมีผื่นขึ้น และรู้สึกไม่สบายได้
นอกจากนี้ยังอาจมีอาการอื่น ๆ แต่พบได้น้อย เช่น
- รู้สึกร้อน ๆ หนาว ๆ
- ลิ้นรับรู้รสชาติคล้ายโลหะ
- เวียนศีรษะ
- คลื่นไส้
- มีอาการคัน
- อาการลมพิษ
- ความดันโลหิตต่ำอย่างรุนแรง
- อาการช็อกจากการแพ้อย่างรุนแรง
- หัวใจหยุดเต้น
วิธีการเอกซเรย์ ผลข้างเคียงจากรังสีเอกซเรย์ ผลข้างเคียงที่เกิดจากรังสีจะขึ้นอยู่กับปริมาณของรังสี หรือความถี่ในการเอกซเรย์ และบริเวณของอวัยวะที่โดนรังสี โดยที่อาจพบได้มีดังนี้
- ผิวหนังบริเวณที่ถูกรังสีแดงหรือไหม้
- ผิวแห้ง
- ปากแห้ง
- คลื่นไส้
- อาเจียน
- ท้องเสีย
- ปริมาณเม็ดเลือดต่ำลง
- กลืนอาหารหรือน้ำได้ลำบาก
นอกจากนี้การเอกซเรย์ติดต่อกันบ่อย ๆ ยังอาจทำให้กระดูกบางลง หรือมีอาการป่วยจากการได้รับรังสีเกินขนาด (Radiation Poisoning) เกิดจากการได้รับรังสีในปริมาณที่สูงติดต่อกันในช่วงเวลาสั้น ๆ อาการที่พบได้คือ เป็นลม มึนงงสับสน คลื่นไส้ อาเจียน ท้องเสีย ผมร่วง มีแผลพุพองตามผิวหนังและปาก มีเลือดออก บางรายอาจรุนแรงถึงขั้นเสียชีวิตได้
ดังนั้นหากหลังจากการเอกซเรย์พบอาการผิดปกติกับร่างกายโดยไม่ทราบสาเหตุ ควรรีบกลับมาพบแพทย์โดยเร็วที่สุดเพื่อการรักษาที่ทันท่วงที
คำสำคัญ
- ขั้นตอนการเอกซเรย์
- เอกซเรย์ปอด
- เอกซเรย์ปอด ปกติ
- เอกซเรย์ช่องท้อง
- เอกซเรย์ท้อง
- เอกซเรย์ทรวงอก
- เอกซเรย์คอมพิวเตอร์
- เครื่องเอกซเรย์
เนือหาที่เกี่ยวข้อง
- 7 เคล็ดลับเพื่อเพิ่มการเติบโตของอีคอมเมิร์ซ
- 10 อันดับ กล้องถ่ายรูปเซลฟี่ ยี่ห้อไหนดี ปี 2022 รวมแบรนด์ดัง Sony, Fujifilm, Panasonic, Olympus
- 17 หลักการแห่งความสำเร็จ ของ “นโปเลียน ฮิลล์”