สมัคร ม.33 – เราเป็นกลุ่มเพื่อนที่รักการเขียนและแบ่งปันเรื่องราวของเรา เราผ่านอะไรมาด้วยกันมากมาย และเราต้องการแบ่งปันประสบการณ์ของเรากับคนทั้งโลก เราหวังว่าเรื่องราวของเราจะสร้างแรงบันดาลใจให้ผู้อื่นได้ใช้ชีวิตที่ดีที่สุด

เราเป็นกลุ่มเพื่อนที่รักการเขียนและแบ่งปันเรื่องราวของเรา เราผ่านอะไรมาด้วยกันมากมาย และเราต้องการแบ่งปันประสบการณ์ของเรากับคนทั้งโลก เราหวังว่าเรื่องราวของเราจะสร้างแรงบันดาลใจให้ผู้อื่นได้ใช้ชีวิตอย่างดีที่สุด
เราเริ่มต้นบล็อกนี้เพราะเราหลงใหลเกี่ยวกับประเทศไทยและวัฒนธรรมไทย เราต้องการแบ่งปันความรักของเราที่มีต่อประเทศนี้กับคนทั่วโลก และช่วยให้ผู้อื่นได้สัมผัสกับความงามของประเทศไทยผ่านงานเขียนของเรา ตั้งแต่นั้นมา บล็อกของเราได้กลายเป็นแหล่งข่าวประจำวันและหัวข้อยอดนิยมในประเทศไทย ผู้อ่านของเราไว้วางใจเราในการรายงานอย่างตรงไปตรงมาและเป็นกลางเกี่ยวกับสิ่งที่เกิดขึ้นในประเทศ
สมัคร ม.33, /%e0%b8%aa%e0%b8%a1%e0%b8%b1%e0%b8%84%e0%b8%a3-%e0%b8%a1-33,
Video: ออกจากม. 33 เกิน 6 เดือนสมัครม. 40ได้มั้ย คิดชราภาพอย่างไร【ตอบคำถามกฎหมายแรงงานและประกันสังคมEP.169】
เราเริ่มต้นเว็บไซต์นี้เพราะเรารักประเทศไทยและเราต้องการแบ่งปันความรักของประเทศของเรากับคนทั่วโลก เราคิดว่าประเทศไทยเป็นสถานที่ที่สวยงามและน่าสนใจที่สุดแห่งหนึ่งของโลก และเราต้องการที่จะแสดงให้ผู้คนเห็นว่าสิ่งใดที่ทำให้ที่นี่มีความพิเศษ
เราอัปเดตไซต์ของเราทุกวันด้วยเรื่องราวและรูปภาพใหม่ๆ เพื่อให้ทุกคนสามารถติดตามข่าวสารล่าสุดเกี่ยวกับสิ่งที่เกิดขึ้นในประเทศไทย เราคือทีมนักเขียนและนักวิจัยที่กระตือรือร้นและมุ่งมั่นที่จะนำเสนอข่าวสารล่าสุดจากประเทศไทยให้กับคุณ ไม่ว่าจะเป็นข่าวด่วน ข่าวซุบซิบ หรือแค่สิ่งที่น่าสนใจที่เราคิดว่าคุณจะชอบ เราจะโพสต์ไว้ในบล็อกของเราอย่างแน่นอน เราอัปเดตทุกวัน ดังนั้นอย่าลืมกลับมาตรวจสอบบ่อยๆ!
สมัคร ม.33, 2021-07-08, ออกจากม. 33 เกิน 6 เดือนสมัครม. 40ได้มั้ย คิดชราภาพอย่างไร【ตอบคำถามกฎหมายแรงงานและประกันสังคมEP.169】, จากคำถาม
“ขอสอบถามดังนี้ครับ
1. ลาออกจากงานแล้ว (ม.33) โดยไม่สมัครเข้า ม.39 โดยให้เลยระยะเวลา 6 เดือน สามารถสมัครเข้า ม.40 ได้หรือไม่ครับ
2. กรณี สมัครเข้า ม40 ได้ แล้วเลือกใช้ทางเลือกที่ 2 มีวิธีได้รับเงินบำนาญชราภาพ โดยมีการคำนวณอย่างไรครับ
อายุ 40 เป็น มาตรา 33 มาแล้ว 18 ปี เฉลี่ยรายได้ 15000 ถ้าจะต่อเป็น มาตรา 40 จนอายุครบรับบำนาญ จะได้รับบำนาญชราภาพเท่าใดครับ
ขอบคุณครับ”, HR Comm Arts
,
ต้องรู้! ผู้ประกันตนมาตรา 33 ออกจากงาน อย่าลืมสมัคร “ประกันสังคม” มาตรา 39 /blockquote>
ต้องรู้! ผู้ประกันตนมาตรา 33 ออกจากงาน อย่าลืมสมัคร “ประกันสังคม” มาตรา 39 /blockquote>
สำนักงานประกันสังคม ผู้ประกันตน ม.33 ที่ลาออกจากงาน แต่ยังอยากรักษาสิทธิ์ “ประกันสังคม” ต้องรีบสมัคร ม.39 เพียง 432 บาท/เดือน โดยล่าสุด กระทรวงแรงงาน ได้กำหนดมาตรการลดเงินสมทบ “ประกันสังคม” ทั้งในส่วนของนายจ้าง และ ผู้ประกันตนทุกมาตรา ม.33, ม.39 และ ม.40 เพื่อประโยชน์แก่พี่น้องประชาชน เป็นระยะเวลา 3 เดือน เริ่มตั้งแต่เดือน 1 พฤษภาคม – กรกฎาคม 2565
โดย ผู้ประกันตนมาตรา 39 เหลือส่งเงินสมทบเดือนละ 91 บาท (ตั้งแต่เดือน พ.ค. – ก.ค. 2565)
คุณสมบัติของผู้สมัคร ม.39
- เคยเป็นผู้ประกันตนตามมาตรา 33
- นำส่งเงินสมทบมาแล้วไม่น้อยกว่า 12 เดือน
- ออกจากงานไม่เกิน 6 เดือน นับแต่วันที่ลาออกจากงาน
- ต้องไม่เป็นผู้รับประโยชน์ทดแทน กรณีทุพพลภาพจากกองทุนประกันสังคม
ข่าวที่เกี่ยวข้อง :
ผู้ประกันตน ม.33 ลาออกจากงาน แล้วสมัคร ม.39 เพื่อรักษาสิทธิ์ “ประกันสังคม” สามารถรับความคุ้มครอง 6 กรณี ดังนี้
- กรณีประสบอันตรายหรือเจ็บป่วย
- กรณีคลอดบุตร
- กรณีทุพพลภาพ
- กรณีเสียชีวิต
- กรณีสงเคราะห์บุตร
- กรณีชราภาพ
อย่างไรก็ตาม สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับ “ประกันสังคม” ได้ที่ หรือโทรสายด่วน 1506 ให้บริการทุกวัน ตลอด 24 ชั่วโมง.
อยากหาเงินทุนหมุนเวียนก่อนกู้เงินต้องรู้สิ่งเหล่านี้
ในปัจจุบันการมีทุนหมุนเวียนพร้อมทั้งมีสภาพคล่องทางการเงินถือเป็นสิ่งที่หลาย ๆ คนต้องการ ซึ่งวิธีที่รู้จักกันอย่างแพร่หลายมากที่สุดก็คือ การกู้เงินนั่นเอง แต่เรื่องนี้ยังมีสิ่งที่คุณต้องรู้ให้ลึกและศึกษาข้อมูลเงื่อนไขกันให้ดีก่อนที่จะทำการกู้เงิน เพราะถ้าคุณไม่วางแผนการเงินดี ๆ ก่อนจะกู้เงินแล้วล่ะก็อาจทำให้การกู้เงินด่วนธนาคาร หรือที่ไหนๆ ก็กลายเป็นปัญหาใหญ่และกลายเป็นหนี้เสียสร้างภาระให้กับชีวิตของคุณในระยะยาวเลยก็เป็นได้
วันนี้เราลองมาเจาะลึกในเรื่องของการกู้เงินกันให้มากขึ้นดีกว่าไม่ว่าจะเป็นกู้เงินด่วน กู้เงินผ่านแอพ คำนวณดอกเบี้ย การผ่อนชำระ สารพัดเรื่องราวเกี่ยวกับการกู้ที่คุณควรรู้เอาไว้ก่อนเริ่มดำเนินการเราได้ทำการรวบรวมมาไว้ให้คุณที่นี่เรียบร้อยแล้ว
การกู้เงินคืออะไรมารู้จักกันให้ดีก่อน
นิยามชัด ๆ ของการกู้เงินก็คือ การที่มีผู้ต้องการกู้ไปขอทำการกู้กับผู้ให้กู้ ทั้งหมดเกิดขึ้นได้โดยมีสัญญาที่กำหนดระยะเวลาและการจำนวนการผ่อนชำระที่ชัดเจน มีการคำนวณดอกเบี้ยมาเป็นที่เรียบร้อย และทั้งสองฝั่งเห็นชอบตรงกัน
โดยการกู้เงินนั้นจะกำหนดให้มีการค้ำประกันหรือไม่ก็ได้ โดยส่วนใหญ่ถ้าไม่มีหลักทรัพย์มาค้ำประกันคุณมักจะต้องเจอกับดอกเบี้ยที่สูงกว่าแบบที่มีสินทรัพย์มาค้ำประกัน ซึ่งหลักการเหล่านี้มีทั้งสถาบันการเงิน ผู้ปล่อยกู้เงินรายเดือน เงินกู้รายวัน ให้บริการคุณมากมาย เช่น สินเชื่อบัตรเครดิต
แต่ถ้าคุณต้องไปกู้ยืมนอกระบบของสถาบันการเงินแล้วล่ะก็ควรรู้เอาไว้ว่าตามกฎหมายนั้นจะคิดอัตราดอกเบี้ยได้ไม่ควรเกิน 15% ต่อปีในกรณีที่มีสินทรัพย์ไปค้ำประกัน ส่วนการจะเสียดอกเบี้ยมากกว่านี้จะทำได้แค่ในกรณีของสถาบันการเงินหรือธนาคารเท่านั้นและนี่คือสิ่งที่กฎหมายทำการคุ้มครองคุณอยู่
การกู้เงินเหมาะสำหรับใคร
การมีหนี้นั้นไม่ใช่สิ่งที่น่ากลัวหากคุณมีแผนทางการเงินที่ชัดเจน ทำให้การกู้เงินเข้ามาเป็นทางเลือกของหลาย ๆ คนและหลาย ๆ ธุรกิจเพื่อที่จะเพิ่มสภาพคล่องทางการเงินให้กับตนเอง ดังนั้นถ้าคุณเข้าข่ายของบุคคลเหล่านี้ถือว่าคุณมีความเหมาะสมในการจะทำการกู้ในระดับหนึ่ง
- พนักงานประจำ
เมื่อคุณมีประวัติทางการเงินที่ดี พร้อมทั้งมีหนี้ไม่เกินจำนวน 40% ของรายรับ คุณจะเป็นหนึ่งในกลุ่มที่สามารถกู้เงินง่าย ๆ มากที่สุดกลุ่มหนึ่ง โดยคุณอาจต้องการสร้างความมั่นคงทางด้านทรัพย์สินไม่ว่าจะเป็นการซื้อบ้าน ที่ดิน ยานพาหนะ รวมทั้งทรัพย์สินอื่น ๆ เพื่อมาทำกำไร แต่เงินในขณะนั้นอาจยังไม่เพียงพอ เมื่อพิจารณาดูแล้วคุณยังสามารถใช้หนี้ได้ ดังนั้นการกู้เงินจึงตอบโจทย์การสร้างอนาคตของคุณมากที่สุด - เจ้าของกิจการ
การมีเงินหมุนพร้อมทั้งทุนสำรองเพื่อเสริมสภาพคล่องเป็นสิ่งที่ทุกธุรกิจควรมี การกู้เงินช่วยขยายโอกาสทางธุรกิจให้กับคุณได้ หนี้ก้อนนี้ก่อให้เกิดรายได้จึงทำให้การกู้เงินเหมาะกับเหล่าเจ้าของกิจการ ผู้ประกอบการที่มีธุรกิจที่มั่นคง มีแนวโน้มเติบโต พร้อมทั้งยังไม่มีภาระหนี้มากจนเกินกำหนด พร้อมทั้งเมื่อคำนวณดอกเบี้ยพร้อมทั้งการผ่อนชำระแล้วกำไรที่จะได้คืนมาคุ้มค่ากว่า นี่คือเหตุผลหลักที่คุณควรกู้เงินด่วน
การกู้เงินในไทยและต่างประเทศเหมือนหรือต่างกัน
สำหรับทั้งการกู้เงินในประเทศไทยเราและต่างประเทศมีจุดประสงค์หลักของการปล่อยกู้ที่ไม่แตกต่างกัน เหตุผลหลัก ๆ ก็เพื่อที่จะเสริมสภาพคล่องให้กับคนในประเทศและทำให้มีสภาพคล่องโดยรวมของการเงินในแต่ละประเทศดีขึ้นนั่นเอง
สิ่งที่จะแตกต่างก็มีเพียงในส่วนของวิธีการยื่นขอ เอกสาร การประเมินคะแนนเครดิต การคำนวณดอกเบี้ย การผ่อนชำระ และความหลากหลายของเหล่าสถาบันการเงิน ซึ่งแน่นอนว่าในแต่ละประเทศก็มักจะออกแบบเงื่อนไขมาให้เข้ากับความเป็นอยู่ของพลเมืองประเทศตนเองมากที่สุด
การกู้เงินในไทยมีแบบไหนบ้าง
สำหรับประเภทต่าง ๆ ในการกู้เงินของไทยเรานั้นจะมีแบบไหนบ้างและแบบไหนที่เหมาะกับคุณมากที่สุดลองมาพิจารณาเงื่อนไขต่าง ๆ แล้วทำไปวางแผนการหากู้เงินกันเลยดีกว่า
- กู้เงินในและนอกระบบ
หากคุณเลือกกู้เงินในระบบคือการกู้ผ่านทางสถาบันการเงินหรือธนาคาร การกู้แบบนี้จะอยู่ภายใต้การดูแลด้านกฎหมาย มีข้อกำหนดต่าง ๆ ที่ชัดเจน มีมาตรฐาน ทุกฝ่ายไม่มีใครเสียเปรียบใคร
แต่หากคุณเลือกที่จะกู้เงินฉุกเฉินผ่านการกู้นอกระบบก็คือการตกลงยืมกันเองไม่มีกฎหมายรองรับ มีการทำสัญญาหรือไม่ก็ได้ อาจเป็นการกู้เงินรายเดือน เงินกู้รายวัน แต่ส่วนใหญ่แล้วมักจะต้องเจอกับดอกเบี้ยที่สูงแลกมากับการได้เงินมาง่ายกว่าการไปขอกู้ในระบบ
- กู้เงินเพื่อธุรกิจและส่วนบุคคล
การกู้เหล่านี้ส่วนใหญ่มักจะผ่านสถาบันการเงินหรือธนาคารเพียงแต่ใช้คนละจุดประสงค์ สำหรับคนที่ต้องการกู้เพื่อนำไปต่อยอดธุรกิจมักจะมีโครงการต่าง ๆ เตรียมเอาไว้ให้กู้ เพื่อที่จะช่วยเหลือและเพิ่มสภาพคล่องให้เหมาะสมกับแต่ละกิจการ ไม่ว่าจะเป็นสามารถเบิกเกินบัญชี กู้แบบระยะสั้น ยาว หรือการกู้เพื่อค้าขายส่งออก ธุรกิจขนาดย่อม เป็นต้น
ส่วนถ้าเป็นการกู้เงินส่วนบุคคลก็คือคนทั่วไปที่ต้องการเงินก้อนไปใช้เพื่อจุดประสงค์ส่วนตัว ทั้งเพื่อซื้ออสังหาริมทรัพย์ ยานพาหนะ ซ่อมแซมที่อยู่อาศัย หรือต้องการเงินสดออกมาเสริมสภาพคล่อง
- การกู้แบบมีหลักทรัพย์และไม่มีหลักทรัพย์
เมื่อคุณต้องการเงินจำนวนมากการกู้โดยใช้หลักทรัพย์ที่มีมาค้ำประกันจะช่วยให้คุณกู้ผ่านง่ายขึ้นพร้อมทั้งได้ดอกเบี้ยที่ถูกลง แต่ก็จำเป็นที่จะต้องวางแผนการเงินให้ดีเพราะถ้าคุณผิดสัญญาทรัพย์สินเหล่านั้นของคุณจะถูกยึดเป็นการชำระหนี้ในทันที
ส่วนถ้าคุณต้องการกู้เงินโดยไม่มีหลักทรัพย์ส่วนใหญ่แล้วจะเป็นเงินจำนวนไม่มาก เหล่าบัตรต่างๆ เช่น บัตรกดเงินสดออนไลน์ จะรวมอยู่ในการกู้ประเภทนี้ โดยคุณสามารถกู้เงินออนไลน์ได้อย่างสะดวกสบาย แต่การกู้แบบนี้มักต้องแลกกับดอกเบี้ยที่สูง
- กู้ระยะสั้นและระยะยาว
เรื่องของระยะเวลาการกู้นั้นมีผลกับการวางแผนการใช้จ่ายเป็นอย่างมาก ดังนั้นถ้าคุณเลือกกู้แบบระยะสั้นหมายความว่าหนี้สินเหล่านี้จุดเด่นคือจะไม่เกิน 1 ปี ทั้งหมดจะมีอัตราดอกเบี้ยที่คงที่เป็นส่วนใหญ่ เหมาะกับเงินก้อนเล็กที่ต้องการนำมาเสริมสภาพคล่อง
ส่วนการกู้เงินในระยะยาวนั้นคือหนี้ที่ใช้เวลาเกิน 1 ปีขึ้นไปในการชำระคืน โดยสามารถทั้งทำการการผ่อนชำระหรือจ่ายก้อนเดียวก็ได้ ส่วนใหญ่จะเป็นเงินจำนวนมากเช่น การผ่อนบ้าน ผ่อนรถ และการคำนวณดอกเบี้ยจะคิดแบบลอยตัว ทำให้ทั้งผู้กู้และผู้ให้กู้ไม่ต้องกังวลกับความเสี่ยงที่จะเกิดในอนาคต
ข้อควรรู้ก่อนกู้เงิน
เมื่อเริ่มวางแผนการเงินและเห็นว่าการกู้เงินเป็นทางออกเพื่อให้ได้วงเงินที่ต้องการออกมาใช้เสริมสภาพคล่อง คุณจึงควรรู้ก่อนว่าก่อนจะทำการกู้ต้องเจอและเตรียมตัวอะไรบ้าง
- ต้องให้ข้อมูลพร้อมทั้งเอกสารส่วนตัว
สิ่งที่เป็นพื้นฐาน 100% ของการกู้ยุค 2022 ก็คือ สำเนาบัตรประชาชน สำเนาทะเบียนบ้าน สำเนาเกี่ยวกับความสัมพันธ์ทั้งทะเบียนสมรส ใบหย่า และอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องกับเรื่องความสัมพันธ์ของคุณ ถ้าคุณเคยเปลี่ยนแปลงชื่อก็ต้องนำมาแสดงเพื่อการค้นประวัติ และหากกู้ในแบบธุรกิจก็จำเป็นต้องแสดงสำเนาทะเบียนการค้า หนังสือรับรองการจดทะเบียนนิติบุคคล
- เอกสารแสดงรายได้
นี่ถือเป็นเรื่องสำคัญมากเพราะเป็นการแสดงให้เห็นถึงความสามารถในการชำระหนี้พร้อมทั้งสภาพการเงินของคุณ เอกสารเหล่านี้มักจะประกอบไปด้วย ใบรับรองเงินเดือน สัญญาจ้าง บัญชีธนาคาร หลักฐานทรัพย์สินต่าง ๆ หรือเหล่านิติบุคคลก็จะต้องแสดงงบการเงิน รายการเสียภาษี สิทธิในทรัยพ์สิน และสถานที่ตั้งของกิจการให้ชัดเจน
- เอกสารอื่น ๆ เพื่อประกอบการพิจารณา
ทางสถาบันการเงินหรือธนาคารอาจขอเอกสารเพิ่มเติมไม่ว่าจะเป็นสัญญาจะซื้อจะขาย สัญญาสำเนาโฉนด หนังสือกรรมสิทธิ์สัญญาเงินกู้ สัญญาจำนอง หรือเอกสารเพื่อแสดงให้เห็นถึงหลักฐานการกู้ร่วม และถ้าเป็นการกู้เพื่อธุรกิจก็อาจต้องมีในเรื่องของแผนธุรกิจหรือโครงการที่ต้องการนำเงินกู้ก้อนนี้ไปใช้มาแสดงเพื่อประกอบการพิจารณาของทางแหล่งเงินกู้อีกด้วย
แหล่งกู้เงินที่น่าสนใจปี 2022
คุณคงเริ่มอยากรู้กันแล้วว่าเมื่อเตรียมตัวพร้อมทั้งแผนการเงินและเอกสารต่าง ๆ ใครกันที่จะสามารถปล่อยกู้ให้กับคุณได้ วันนี้เราจะมาแนะนำเหล่าแหล่งเงินกู้ที่น่าสนใจในตอนนี้ให้คุณได้ลองนำไปพิจารณากัน
- สินเชื่อตั้งหลัก เงินทันเด้อ โดย SCB Abacus
นี่คือแอพกู้เงินที่ถูกต้องตามกฎหมายภายใต้การดูแลของธนาคารชื่อดังในไทยอย่างไทยพาณิชย์ คุณสามารถทำการขอกู้เงินออนไลน์โดยไม่ต้องเดินทางไปยังธนาคาร ใช้เวลาในการให้ข้อมูลประมาณ 15 นาทีและทางแอพฯ จะแจ้งผลการขอกู้ในทันทีและหากผ่านการพิจารณาคุณสามารถทำสัญญาผ่านทางออนไลน์กันได้เลย เงินจะเข้าผ่านทางบัญชีของธนาคารไทยพาณิชย์ให้วงเงินสูงสุดไม่เกิน 50,000 บาท ในอัตราดอกเบี้ย 2.75% หรือไม่เกิน 33% ต่อปี ผู้กู้ต้องมีอายุตั้งแต่ 17 ปีบริบูรณ์ขึ้นไป
- Hahi Money โดย MONIX Co., Ltd.
การกู้เงินตัวนี้ก็เป็นการกู้ผ่านทางแอพกู้เงินออนไลน์เช่นเดียวกัน โดยเป็นสินเชื่อส่วนบุคคล และทำงานเชื่อมต่อกับทาง SCB Easy ถ้าคุณคือคนที่มีบัญชีกับทางไทยพาณิชย์อยู่แล้วจะทำให้การยืนยันตัวตนง่ายขึ้น แต่ถ้ามีบัญชีกับทางธนาคารอื่น ๆ ไม่ว่าจะเป็น ธนาคารกรุงไทย, ธนาคารกสิกรไทย, ธนาคารกรุงศรีอยุธยา, ธนาคารทหารไทย และธนาคารออมสิน ก็ยังจะช่วยให้คุณขอวงเงินเพิ่มขึ้นได้
โดยทางห้าให้นั้นจะให้วงเงินสูงสุดอยู่ที่ 100,000 บาท อัตราดอกเบี้ย 2.75% ต่อเดือนและไม่เกิน 33% ต่อปี ถือเป็นอีกหนึ่งช่องทางการหาเงินหมุนที่น่าสนใจ
- LINE BK โดย กสิกรไลน์
ปกติเราจะใช้ LINE ในการติดต่อสื่อสารแต่ในตอนนี้สามารถปล่อยกู้เงินให้กับคุณได้แล้ว ถือเป็นการกู้เงินด่วน กู้เงินออนไลน์ ผ่านทางแอพกู้เงินที่น่าสนใจและน่าเชื่อถือเพราะบริการด้วยการร่วมมือกับธนาคารกสิกร ยิ่งถ้าคุณใช้งาน K Plus อยู่แล้วมีส่วนช่วยให้การกู้เงินผ่านเร็วมากขึ้น สิ่งที่น่าสนใจคือให้วงเงินสูงสุดถึง 800,000 บาท ในอัตราดอกเบี้ยไม่เกิน 25% ต่อปี
การกู้เงินในช่วงปี 2564-2565 ที่ผ่านมา
ในช่วงสภาวะเศรษฐกิจแบบนี้อาจทำให้หลายคนต้องการเงินทุนหมุนเวียนมากขึ้นเพื่อขยายช่องทางรายได้และเพิ่มสภาพคล่องทำให้อัตราการขอกู้เงินด่วนมีจำนวนเพิ่มขึ้นเป็นอย่างมาก จากตัวอย่างของธนาคารไทยพาณิชย์จำนวนผู้กู้ในเดือนธันวาคม 2564 อยู่ที่ 3,792,925 บัญชี ส่วนในเดือนมกราคมปี 2565 พุ่งสูงขึ้นเป็น 3,849,911 บัญชี ภายในเวลาเพียง 1 เดือนของธนาคารเพียงแห่งเดียวมีการกู้เพิ่มขึ้นกว่าเกือบ 100,000 บัญชี และคาดการณ์ว่าในปีนี้ผลรวมจะสูงขึ้นกว่าปีที่ผ่านมาอย่างแน่นอน
ทำอย่างไรถึงจะกู้เงินผ่าน
หลายคนอาจเคยเจอกับการกู้เงินฉุกเฉินแล้วไม่ผ่านลองมาดูกันดีกว่าว่าเตรียมตัวแบบไหนมีแนวโน้มกู้ผ่านได้สูงมากขึ้น
- เตรียมเอกสารให้พร้อม เพื่อให้การพิจารณาเร็วขึ้น ผู้พิจารณาเห็นข้อมูลชัดเจนขึ้น ทำให้เห็นถึงความพร้อมของคุณ
- หนี้ไม่ควรเกิน 40% ของรายได้ ถ้ารายได้คุณคือ 10,000 บาทต่อเดือน หนี้สินก่อนขอกู้ไม่ควรเกิน 3,000 บาทต่อเดือน และเมื่อกู้แล้วรวมมีหนี้ต่อเดือนไม่เกิน 4,000 บาทหรือ 40% นั่นเอง
- ถ้าไม่ผ่านอย่าขอถี่จนเกินไป เว้นระยะเวลาหากขอไม่ผ่านเอาไว้ประมาณ 30 วัน
- เลือกสินเชื่อให้เหมาะกับคุณ อย่างถ้าคุณเป็นบุคคลจะขอสินเชื่อธุรกิจแนวโน้มการผ่านค่อนข้างน้อย
- ประวัติทางการเงินดี ไม่เคยชำระล่าช้าหรือค้างการชำระหนี้อยู่
เทคนิคที่ต้องทำเสมอเพื่อขอกู้เงิน
แม้ว่าคุณจะยังไม่ได้ขอกู้ในตอนนี้แต่การเตรียมตัวเอาไว้ล่วงหน้าเผื่อต้องการหากู้เงินมีส่วนช่วยได้ ดังนั้นลองเตรียมตัวตามนี้แล้วจะช่วยคุณได้อีกเยอะ
- ทำ Statement ให้ดี การมีบัญชีที่ดีไม่ใช่มีแค่เงินเข้า แต่ต้องแสดงเงินออกให้เห็นถึงการบริหารเงินที่ดีไปพร้อมกันด้วย
- ไม่ควรมีประวัติเสีย อย่างเคยมีเช็คเด้ง ไม่ชำระหนี้หรือชำระล่าช้า
- อย่าโกหก คุณอาจแจ้งข้อมูลด้านดีกับธนาคารและกลบบางเรื่องไว้ หากทำแบบนี้อาจทำให้การกู้ยากมากขึ้นในทุก ๆ ครั้ง
- หลักประกันต้องดี หากต้องการก็จำนวนมากการเลือกหลักประกันที่น่าเชื่อถือมีมูลค่าช่วยให้คุณกู้ได้ง่ายขึ้น
- เอกสารเพิ่มเติมต้องพร้อมเสมอ ไม่ว่าทางผู้ให้กู้จะขอดูส่วนไหนเพิ่มเติมถ้าคุณมีให้พร้อมจะช่วยให้ทุกอย่างราบรื่นขึ้น
ควรรู้คะแนนเครดิตของตัวคุณเอง
คะแนนเครดิตนั้นทางสถาบันการเงินจะใช้เพื่อประกอบการพิจารณาดังนั้นถ้าคุณรู้คะแนนของตัวเองก่อนมีส่วนช่วยในการประเมินและทำประวัติให้ดีได้ โดยคะแนนเหล่านี้จะประกอบไปด้วย ประวัติการชำระเงิน ยอดหนี้คงค้าง ระยะเวลาประวัติทางเครดิต เครดิตใหม่ ประเภทของเครดิตที่ถูกใช้ คุณสามารถยื่นขอตรวจสอบคะแนนเครดิตบูโรกับทางสถาบันการเงินได้
คะแนนเครดิตมีกี่ระดับ
สำหรับคะแนนเครดิตมีทั้งหมด 8 ระดับด้วยกันเริ่มตั้งแต่ AA BB CC DD EE FF GG HH ไล่คะแนนตั้งแต่ 300 ไปจนถึง 900 คะแนน และยังมีเหตุผลประกอบเครดิตเป็น 015 คือมีประวัติสินเชื่อที่ดีจำกัด 018 มีวงเงินคงเหลือค่อนข้างน้อย 029 มีจำนวนการสืบค้นข้อมูลเครดิตมาก 025 มีความหลากหลายของผลิตภัณฑ์น้อย ทั้งหมดต้องใช้ประกอบกับหลายองค์ประกอบเพื่อการพิจารณาการกู้เงิน
มัดรวมเรื่องของการกู้เงินไว้ที่เดียว
วันนี้เชื่อว่าคุณได้รู้ถึงเรื่องของการกู้เงินเพิ่มขึ้นไม่น้อยเลยทีเดียว ถ้าตอนนี้คุณกำลังสนใจที่อยากจะกู้ไม่ว่าจะเป็นการกู้เงินด่วน, กู้เงินออนไลน์ สินเชื่อเงินด่วนออนไลน์หรือกู้ผ่านทางแอพกู้เงิน เชื่อว่าคุณจะสามารถวางแผนการเงินและความเหมาะสมในการกู้ได้อย่างดีขึ้นแน่นอน
ถ้ามีเรื่องเกี่ยวกับการเงินอื่น ๆ ที่คุณกำลังสนใจอยากได้ข้อมูลเพิ่มบอกเลยว่าที่นี่เราได้รวบรวมข้อมูลเหล่านั้นเอาไว้ให้คุณทั้งหมดเรียบร้อยแล้ว เข้ามาติดตามข่าวสารที่อัปเดตกับเราได้เสมอ บอกเลยว่าเรื่องของการเงินและการวางแผนเกี่ยวกับการเงินได้ข้อมูลจากเราไปวางแผนได้ดีขึ้นอย่างแน่นอน
ยื่นว่างงานออนไลน์ได้รับสิทธิอะไรบ้างสำหรับคนที่ถูกเลิกจ้าง
เปิดบัญชีออมสินในโทรศัพท์มีข้อดียังไง?
โรงรับจำนำโฉนดที่ดินคืออะไร โรงรับจำนำโฉนดที่ดินมีกี่ประเภท
มีอะไรบ้างที่ช่วยให้เราหาเงินเข้า wallet ฟรีไม่ต้องลงทุน

ประกันสังคม คืออะไร?
ประกันสังคม คือ การสร้างหลักประกันในการดำรงชีวิตในกลุ่มของสมาชิกที่มีรายได้ และจ่ายเงินสมทบเข้ากองทุนประกันสังคมเพื่อรับผิดชอบในการเฉลี่ยความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นจากการเจ็บป่วย คลอดบุตร ทุพพลภาพ เสียชีวิต สงเคราะห์บุตร ชราภาพ และการว่างงาน เพื่อให้ได้รับการรักษาพยาบาล และมีการทดแทนรายได้อย่างต่อเนื่อง
ผู้ประกันตนภายใต้ระบบประกันสังคม แบ่งออกได้เป็น 3 มาตราด้วยกัน ซึ่งได้แก่ มาตรา 33, มาตรา 39 และ มาตรา 40 โดยรายละเอียดและสิทธิประโยชน์สำหรับผู้ประกันตนแต่ละมาตรา มีดังต่อไปนี้
ผู้ประกันตน มาตรา 33
ผู้ประกันตน มาตรา 33 คือ ลูกจ้างที่มีอายุไม่ต่ำกว่า 15 ปีบริบูรณ์ และไม่เกิน 60 ปีบริบูรณ์ในวันเข้าทำงาน และทำงานอยู่ในสถานประกอบการที่มีลูกจ้าง ตั้งแต่ 1 คนขึ้นไป
สำหรับอัตราเงินสมทบของประกันสังคม มาตรา 33 ที่ผู้ประกันตนต้องนำส่งเข้ากองทุนประกันสังคมทุกเดือน จะคำนวณจากฐานค่าจ้างต่ำสุดเดือนละ 1,650 บาท และสูงสุดไม่เกินเดือนละ 15,000 บาท ทั้งนี้ รัฐบาลจะออกเงินสมทบเข้ากองทุนอีกส่วนหนึ่ง โดยมีรายละเอียดดังนี้
- นายจ้าง ส่งเงินสมทบในอัตรา 5% ของค่าจ้างลูกจ้าง ขั้นต่ำ 83 บาท/เดือน และสูงสุดไม่เกิน 750 บาท/เดือน
- ลูกจ้าง/ผู้ประกันตน ส่งเงินสมทบในอัตรา 5% ของค่าจ้าง ขั้นต่ำ 83 บาท/เดือน และสูงสุดไม่เกิน 750 บาท/เดือน
โปรโมชั่นพิเศษสำหรับลูกค้าใหม่ เปิดบัญชีลงทุนครั้งแรกกับ FINNOMENA รับหน่วยลงทุน PCASH มูลค่า 100 บาท ตั้งแต่วันที่ 16 มี.ค. – 31 พ.ค. 65 คลิก /www-%e0%b8%a1-33-%e0%b9%80%e0%b8%a3%e0%b8%b2%e0%b8%a3%e0%b8%b1%e0%b8%81%e0%b8%81%e0%b8%b1%e0%b8%99com-%e0%b8%a5%e0%b8%87%e0%b8%97%e0%b8%b0%e0%b9%80%e0%b8%9a%e0%b8%b5%e0%b8%a2%e0%b8%99%e0%b9%83/
สิทธิประโยชน์สำหรับผู้ประกันตน มาตรา 33
สิทธิประโยชน์ที่ผู้ประกันตน มาตรา 33 จะได้รับ สามารถแบ่งออกได้เป็น 7 กรณี ดังนี้
1. กรณีเจ็บป่วย
ผู้ประกันตนมีสิทธิได้รับค่าส่งเสริมสุขภาพและป้องกันโรค ตามหลักเกณฑ์และอัตราที่คณะกรรมการการแพทย์ฯ กำหนด ซึ่งรวมถึงการฉีดวัคซีนตามสถานการณ์การระบาดของโรคที่กำหนดขึ้นในแต่ละปี โดยสามารถเข้ารับบริการได้ ณ สถานพยาบาลที่สำนักงานประกันสังคมกำหนดสิทธิ
เจ็บป่วยปกติ
สามารถเข้ารับการรักษาพยาบาลในสถานพยาบาลตามสิทธิหรือเครือข่ายของสถานพยาบาลนั้นได้ฟรี โดยไม่ต้องสำรองค่าใช้จ่าย ทั้งผู้ป่วยนอก (OPD) และผู้ป่วยใน (IPD)
ประสบอุบัติเหตุหรือเจ็บป่วยฉุกเฉิน
กรณีเข้ารักษาพยาบาลที่สถานพยาบาลรัฐ:
- ผู้ป่วยนอก (OPD) เบิกค่ารักษาพยาบาลได้ตามที่จ่ายจริง
- ผู้ป่วยใน (IPD) เบิกค่ารักษาพยาบาลได้ตามที่จ่ายจริง ภายในระยะเวลาไม่เกิน 72 ชั่วโมง ทั้งนี้ไม่นับรวมวันหยุดราชการและวันหยุดนักขัตฤกษ์
กรณีเข้ารักษาพยาบาลที่สถานพยาบาลเอกชน:
- ผู้ป่วยนอก (OPD) เบิกค่ารักษาพยาบาลได้ตามที่จ่ายจริง ไม่เกิน 1,000 บาท หรือ เกิน 1,000 บาทได้ หากมีการตรวจรักษาตามรายการในประกาศของคณะกรรมการการแพทย์
- ผู้ป่วยใน (IPD) กรณีที่ไม่ได้รักษาในห้อง ICU เบิกค่ารักษาพยาบาลได้ไม่เกินวันละ 2,000 บาท ค่าห้องและค่าอาหาร ไม่เกินวันละ 700 บาท และสำหรับกรณีที่รักษาในห้อง ICU เบิกค่ารักษาพยาบาล ค่าห้อง และค่าอาหาร ได้รวมไม่เกินวันละ 4,500 บาท ผ่าตัดใหญ่ เบิกได้ไม่เกินครั้งละ 8,000-16,000 บาท ค่ายา และค่าอุปกรณ์ เบิกได้ไม่เกิน 4,000 บาท ค่าตรวจทางห้องปฏิบัติการ และค่าเอกซเรย์ เบิกได้ไม่เกิน 1,000 บาท
ประสบอุบัติเหตุหรือเจ็บป่วยฉุกเฉินวิกฤต
เข้ารับบริการทางการแพทย์ที่สถานพยาบาลใกล้เคียงได้ทุกแห่ง โดยไม่ต้องสำรองค่าใช้จ่าย ภายในระยะเวลา 72 ชั่วโมง ทั้งนี้ นับรวมวันหยุดราชการและวันหยุดนักขัตฤกษ์
ทันตกรรม
- ถอนฟัน อุดฟัน ขูดหินปูน และผ่าฟันคุด รับค่าบริการทางการแพทย์ตามที่จ่ายจริง ไม่เกิน 900 บาท/ปี
- ฟันเทียมชนิดถอดได้บางส่วน รับค่าบริการทางการแพทย์ และค่าฟันเทียมตามที่จ่ายจริง โดย 1-5 ซี่ จะได้รับเงินไม่เกิน 1,300 บาท และมากกว่า 5 ซี่ ขึ้นไป จะได้รับเงินไม่เกิน 1,500 บาท
- ฟันเทียมชนิดถอดได้ทั้งปาก กรณีฟันปลอมชนิดถอดได้ทั้งปากบนหรือล่าง รับค่าบริการทางการแพทย์ และค่าฟันเทียมตามที่จ่ายจริง ไม่เกิน 2,400 บาท และกรณีฟันปลอมชนิดถอดได้ทั้งปากบนและล่าง ไม่เกิน 4,400 บาท ภายในระยะเวลา 5 ปี นับตั้งแต่วันที่ใส่ฟันเทียม
ทั้งนี้ ผู้ประกันตนต้องจ่ายเงินสมทบมาแล้วไม่ต่ำกว่า 3 เดือน ภายในระยะเวลา 15 เดือน ก่อนวันรับบริการทางการแพทย์ จึงจะได้รับสิทธิ
2. กรณีคลอดบุตร
- ผู้ประกันตนหญิง ได้รับเงินค่าคลอดบุตร 15,000 บาท ไม่จำกัดสถานพยาบาลและจำนวนครั้ง พร้อมรับเงินสงเคราะห์การหยุดงานเพื่อคลอดบุตร 50% ของค่าจ้างเฉลี่ยเป็นเวลา 90 วัน (สำหรับเงินสงเคราะห์การหยุดงานเพื่อคลอดบุตร สามารถเบิกได้สูงสุดไม่เกิน 2 ครั้ง)
- ผู้ประกันตนชาย ซึ่งมีภรรยาที่จดทะเบียนโดยชอบด้วยกฎหมาย หรือมีหญิงที่อยู่กินกันฉันสามีภรรยา รับเงินค่าคลอดบุตร 15,000 บาท
- พร้อมเบิก ค่าตรวจและฝากครรภ์ ได้สูงสุด 1,500 บาท
ทั้งนี้ ผู้ประกันตนต้องจ่ายเงินสมทบมาแล้วไม่ต่ำกว่า 3 เดือน ภายในระยะเวลา 15 เดือน ก่อนเดือนคลอดบุตร จึงจะได้รับสิทธิ และในกรณีที่ทั้งสามีและภรรยาเป็นผู้ประกันตน ให้เลือกใช้สิทธิในการเบิกค่าคลอดบุตรฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง โดยไม่จำกัดจำนวนบุตรหรือครั้งในการเบิก
3. กรณีทุพพลภาพ
เงินทดแทนการขาดรายได้
- ทุพพลภาพระดับเสียหายไม่รุนแรง รับเงินทดแทนการขาดรายได้ 30% หรือในส่วนที่ลดลง ไม่เกิน 30% ของค่าจ้างรายวันตามมาตรา 57 ไม่เกิน 180 เดือน
- ทุพพลภาพระดับเสียหายรุนแรง รับเงินทดแทนการขาดรายได้ 50% ของค่าจ้างรายวันตามมาตรา 57 ตลอดชีวิต
ค่าบริการทางการแพทย์
กรณีเจ็บป่วยปกติ:
- เข้ารักษาพยาบาลที่สถานพยาบาลรัฐ – ผู้ป่วยนอก (OPD) รับค่าบริการทางการแพทย์ตามที่จ่ายจริง และผู้ป่วยใน (IPD) เข้ารับบริการได้โดยไม่เสียค่าใช้จ่าย
- เข้ารักษาพยาบาลที่สถานพยาบาลเอกชน – ผู้ป่วยนอก (OPD) รับค่าบริการทางการแพทย์ตามที่จ่ายจริง ไม่เกินเดือนละ 2,000 บาท และผู้ป่วยใน (IPD) ไม่เกินเดือนละ 4,000 บาท
กรณีเจ็บป่วยฉุกเฉินวิกฤต:
เข้ารับบริการทางการแพทย์ที่สถานพยาบาลใกล้เคียงได้ทุกแห่ง โดยไม่ต้องสำรองค่าใช้จ่าย ภายในระยะเวลา 72 ชั่วโมง นับรวมวันหยุดราชการและวันหยุดนักขัตฤกษ์
ทั้งนี้ ผู้ประกันตนต้องจ่ายเงินสมทบมาแล้วไม่ต่ำกว่า 3 เดือน ภายในระยะเวลา 15 เดือน ก่อนทุพพลภาพ (ที่ไม่ได้มีสาเหตุมาจากการทำงาน) จึงจะได้รับสิทธิ
4. กรณีเสียชีวิต
- จ่ายเงินสมทบตั้งแต่ 36 เดือนขึ้นไป แต่ไม่ถึง 120 เดือน รับเงินสงเคราะห์กรณีเสียชีวิต 50% ของค่าจ้างเฉลี่ย 4 เดือน พร้อมรับค่าทำศพ 50,000 บาท
- จ่ายเงินสมทบตั้งแต่ 120 เดือนขึ้นไป รับเงินสงเคราะห์กรณีเสียชีวิต 50% ของค่าจ้างเฉลี่ย 12 เดือน พร้อมรับค่าทำศพ 50,000 บาท
ทั้งนี้ ผู้ประกันตนต้องจ่ายเงินสมทบมาแล้วไม่ต่ำกว่า 1 เดือน ภายในระยะเวลา 6 เดือน ก่อนเสียชีวิต จึงจะได้รับสิทธิ
5. กรณีชราภาพ
เงินบำนาญชราภาพ คือ เงินที่ทยอยจ่ายเป็นรายเดือนตลอดชีวิต
- จ่ายเงินสมทบครบ 180 เดือน (15 ปี) รับเงินบำนาญชราภาพรายเดือน 20% ของค่าจ้างเฉลี่ย 60 เดือนสุดท้าย
- จ่ายเงินสมทบมากกว่า 180 เดือน (15 ปีขึ้นไป) รับเงินบำนาญชราภาพรายเดือนเพิ่ม 1.5% จากอัตรา 20% ในทุก 12 เดือน
เงินบำเหน็จชราภาพ คือ เงินที่จ่ายเป็นก้อนครั้งเดียว
- จ่ายเงินสมทบต่ำกว่า 12 เดือน รับเงินบำเหน็จชราภาพเท่ากับจำนวนเงินสมทบเฉพาะในส่วนของผู้ประกันตน เพื่อการจ่ายประโยชน์ทดแทนกรณีชราภาพ
- จ่ายเงินสมทบตั้งแต่ 12 เดือนขึ้นไป รับเงินบำเหน็จชราภาพเท่ากับจำนวนเงินสมทบที่ผู้ประกันตนและนายจ้างจ่ายสมทบ เพื่อการจ่ายประโยชน์ทดแทนกรณีชราภาพ พร้อมผลตอบแทนตามที่สำนักงานประกันสังคมกำหนด
- กรณีผู้รับเงินบำนาญชราภาพเสียชีวิตภายใน 60 เดือน นับตั้งแต่เดือนที่มีสิทธิได้รับเงินบำนาญชราภาพ จะได้รับเงินบำเหน็จชราภาพ 10 เท่าของเงินบำนาญชราภาพรายเดือนที่ได้รับครั้งสุดท้ายก่อนเสียชีวิต
ทั้งนี้ ผู้ประกันตนต้องมีอายุครบ 55 ปีบริบูรณ์ และความเป็นผู้ประกันตนสิ้นสุดลง หรือเป็นผู้ทุพพลภาพ หรือเสียชีวิต จึงจะได้รับสิทธิ
6. กรณีสงเคราะห์บุตร
รับเงินค่าสงเคราะห์บุตรคนละ 800 บาท/เดือน โดยต้องเป็นบุตรชอบด้วยกฎหมายที่มีอายุไม่เกิน 6 ปีบริบูรณ์ ครั้งละไม่เกิน 3 คน
ทั้งนี้ ผู้ประกันตนต้องจ่ายเงินสมทบมาแล้วไม่ต่ำกว่า 12 เดือน ภายในระยะเวลา 36 เดือน ก่อนเดือนที่มีสิทธิได้รับประโยชน์ทดแทน จึงจะได้รับสิทธิ
7. กรณีว่างงาน
- กรณีถูกเลิกจ้าง รับเงินทดแทนในช่วงว่างงาน 70% ของค่าจ้าง ครั้งละไม่เกิน 200 วัน
- กรณีลาออก หรือ สิ้นสุดสัญญาจ้าง รับเงินทดแทนในช่วงว่างงาน 45% ของค่าจ้าง ครั้งละไม่เกิน 90 วัน (บังคับใช้ 1 มี.ค. 63 – 28 ก.พ. 65)
- กรณีว่างงานเนื่องจากเหตุสุดวิสัย รับเงินทดแทนในช่วงว่างงาน 50% ของค่าจ้าง ครั้งละไม่เกิน 90 วัน
ทั้งนี้ ผู้ประกันตนต้องจ่ายเงินสมทบมาแล้วไม่ต่ำกว่า 6 เดือน ภายในระยะเวลา 15 เดือน ก่อนว่างงาน จึงจะได้รับสิทธิ
คุณสมบัติของผู้ประกันตน ม.40
- สัญชาติไทย
- ประกอบอาชีพอิสระ หรือ แรงงานนอกระบบ
- มีอายุตั้งแต่ 15 ปีแต่ไม่เกิน 65 ปีบริบูรณ์
- ไม่เคยเป็นพนักงานลูกจ้างในระบบประกันสังคมม.33 และ ม.39 มาก่อน
- ไม่เป็นข้าราชการหรือพนักงานรัฐวิสาหกิจ
- ผู้ที่ถือบัตรประจำตัวคนซึ่งไม่มีสัญชาติไทยขึ้นต้นด้วยเลข 0,6,7 (ยกเว้นขึ้นต้นด้วย 00)
- ผู้พิการที่รับรู้สิทธิสามารถสมัครเป็นผู้ประกันตนม.40 ได้
ช่องทางสมัครมาตรา 40
- เว็บไซต์
- เคาน์เตอร์เซอร์วิส เซเว่น-อีเลฟเว่น ทุกสาขา
- ธนาคาร ธกส.ทุกสาขา
- เครือข่ายประกันสังคม ทั่วประเทศ
- บิ๊กซี ซุปเปอร์เซ็นเตอร์
- สายด่วนประกันสังคม 1506
เลือกจ่ายเงินสมทบ 3 ทางเลือก ได้แก่
– 70 บาท/เดือน
– 100 บาท/เดือน
– 300 บาท/เดือน
ส่วนผู้ประกันตน ประกันสังคมมาตรา 33 จะได้รับเงินช่วยเหลือจำนวน 2,500 บาท รวมกับเงินชดเชยค่าจ้าง 50% แต่ไม่เกินคนละ 7,500 บาท รวมเบ็ดเสร็จตกคนละ 10,000 บาท ส่วนนายจ้าง หรือผู้ประกอบการที่มีลูกจ้างจะได้รับเงินช่วยเหลือ 3,000 บาทต่อหัวของลูกจ้างที่อยู่ในบริษัท สูงสุดไม่เกิน 200 คน ตลอด 1 เดือน
หากผู้ประกันตน ประกันสังคมมาตรา 33 ต้องการตรวจสอบสิทธิโครงการเยียวยาว่าจะได้รับเงินหรือไม่ สามารถเข้าไปตรวจสอบได้ที่เว็บไซต์ของสำนักงานประกันสังคม โดยมีขั้นตอนดังนี้
- เข้าเว็บไซต์ /li>
- กรอกเลขบัตรประชาชน 13 หลัก และรหัส
- กดค้นหา
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
– รวมวิธีสมัคร พร้อมเพย์ ผูกบัตรประชาชนของแต่ละธนาคาร รับเงินเยียวยาโควิด
– เปิดขั้นตอน นายจ้าง-ลูกจ้าง ประกันสังคม ม.33 เช็กสิทธิ ได้หรือไม่ได้เงินเยียวยา
– คลัง แจง เงินเยียวยาประกันสังคม ม.33 ม.39 ม.40 และ 9 อาชีพ กลุ่มไหนได้เท่าไหร่บ้าง
คุณสมบัติของผู้สมัคร ม.39
- เคยเป็นผู้ประกันตนตามมาตรา 33
- นำส่งเงินสมทบมาแล้วไม่น้อยกว่า 12 เดือน
- ออกจากงานไม่เกิน 6 เดือน นับแต่วันที่ลาออกจากงาน
- ต้องไม่เป็นผู้รับประโยชน์ทดแทน กรณีทุพพลภาพจากกองทุนประกันสังคม
สามารถรับความคุ้มครอง 6 กรณี
- กรณีประสบอันตรายหรือเจ็บป่วย
อย่างไรก็ตาม สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับประกันสังคมได้ที่ /p>
ขอบคุณเฟซบุ๊ก สำนักงานประกันสังคม กระทรวงแรงงาน
คำสำคัญที่ผู้ใช้ค้นหาที่เกี่ยวข้องกับหัวข้อ สมัคร ม.33 สมัคร ม.33
สำนักงานประกันสังคม, www.sso.go.th, กระทรวงแรงงาน, กฎหมายแรงงาน, มาตรา 39, มาตรา 33, บำเหน็จ, บำนาญ, กรรมการบริษัท, เงินสมทบ, เช็คเงินประกันสังคม, ดูเงินประกันสังคม, กรณีทุพพลภาพ
.